:::: MENU ::::
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การแพทย์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การแพทย์ แสดงบทความทั้งหมด
  • 20:46
3D printing was no longer limited to inorganic materials like polymers or metals. It was being adapted to construct living, biological systems. Layer after layer of cells, dispensed from printer heads, could be placed exactly where needed with precision down to micrometre scales.

Initially demonstrated for simple components like blood vessels and tissues,more sophisticated versions later emerged in combination with scaffolds to hold larger structures in place. Eventually, the first complete organs were developed with sufficient nutrients, oxygen and growth vectors to survive as fully-functioning replacements in mouse models.

3D-printing of major human organs is becoming feasible for the first time. Although yet to be fully perfected (as certain types of organs remain too complex), this is nevertheless a major boost for life extension efforts. In the coming decades, more and more of the 78 organs in the human body will become printable.
From http://www.futuretimeline.net/
  • 13:45

ระวังไว้หน่อยดีกว่า! ทำไมไม่ควรอยู่กับรังสีเหล่านี้เกินกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน


ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตามากกว่า ร้อยละ 80
สาเหตุมาจากการได้รับรังสียูวี (UV)400, ยูวีเอ (UVA) 1 และแสงสีฟ้า
จากการจ้องมองคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน เป็นเวลานานเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน

ปกติคนเราจะกะพริบตาประมาณ 20 ครั้งต่อนาที เพื่อให้ตาได้รับความชุ่มชื้น การเพ่งมองเป็นเวลานานจะทำให้ตาแห้ง แสบตา ส่งผลให้การมองเห็นเริ่มผิดปกติ

1:รังสียูวี UV / UVA, Eye injury

2:รังสียูวี UV / UVA
#รังสียูวี UV / UVA
  • 21:34
หัวใจเทียมที่ทำงานได้เอง ;Professor Alain Carpentier 

จาก ค.ศ. 1940 สู่หัวใจเทียม แต่ใช้ได้จริง
หัวใจเทียม ผลงานของ ศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศส Alain Carpentier รังสรรค์จากส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างชีวะวัตถุกับสุดยอดตัวรับสัญญาณ อิเล็กทรอนิกส์ น้ำหนักและขนาดเท่าของจริง และที่สำคัญคือ มันทำงานได้จริงกับมนุษย์

ภายในปี ค.ศ. 2015 คงจะได้เห็นจำหน่ายในสหภาพยุโรปเป็นที่แรก เงินดอลลาร์ยูโร ราคาอยู่ที 140,000 ถึง 180,000 ดอลลาร์ยูโร  คิดเป็น เงินดอลลาร์สหรัฐ ก็ราวๆ 190,000 ถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินไทยก็ประมาณ 6,000,000 บาท 7,900,000 บาท ใครจะใช้ต้องเตรียมเงินไว้เยอะๆหน่อยล่ะกัน

หัวใจเทียม Artificial heart ;Professor Alain Carpentier 
The first self-regulating artificial heart

In 2013, French Professor Alain Carpentier engineered the first self-regulating artificial heart, using biomaterials and electronic sensors. The device weighed 900g, was roughly the same size as a real heart and could imitate its functions exactly. In a 10-hour operation, it was successfully implanted within a 75-year-old patient at the Georges Pompidou European Hospital in Paris.*

Permanent artificial hearts had been around since 1982, with similar inventions that preceded them going back to the 1940s. Unlike previous versions, however, Carpentier's invention was the first to be completely artificial and self-regulating. Electronic sensors and microprocessors could monitor blood pressure and flow in real time – instantly adjusting the pulse rate – while a "pseudo-skin" made of biosynthetic, micro porous materials could prevent blood clots, which had been a major issue in the past. By 2015, after a period of clinical trials, it is available within the European Union, priced between 140,000 and 180,000 euros (about US$190,000 to $250,000).*

 
  • 20:33
เครื่องพิมพ์ชีวภาพ 3 D
ก้าวข้ามขีดจำกัดของเทคโนโลยีชีวภาพ ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับชีวิต เรากำลังจะมีพริ้นเตอร์ที่สามารถพิมพ์อวัยวะ และพิมพ์ซ่อมแซมผิวหนัง ได้ด้วยหมึกพิมพ์ที่ทำจากเซลล์

Bio-printers
Scientists are developing 3D "bio-printers", a cutting-edge technology that will allow the creation of synthetic human tissue on demand. In the future, these machines could be used to print entire replacement organs, as well as being available for cosmetic procedures.

ดูการทำงานของเครื่องพิมพ์ชีวภาพ 3 D


  • 20:36
หุ่นยนต์ทำให้รูปแบบการผ่าตัดเปลี่ยนไปหรือ
(เทคโนโลยีช่วยลดภาระของแพทย์และผู้ป่วย)

เมื่อราว 10 ปีก่อนหน้านี้ ยังมีการผ่าตัดโรคนิ่วในถุงน้ำดีโดยต้องเปิดช่องหน้าท้องให้มีความยาวราว 20 เซนติเมตร แต่ตั้งแต่ครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1980 ได้มีการพัฒนาการผ่าตัดโดยใช้เอนโดสโคป (endoscope) การผ่าตัดแบบนี้จะเปิดหน้าท้องยาวเพียง 5 มิลลิเมตรถึง 1 เซนติเมตร ประมาณ 3 -4 แห่ง แล้วก็สอดกล้องเอนโดสโคปซึ่งเป็นกล้องขนาดเล็กเข้าไปเพื่อดูสภาพภายในช่องท้อง แล้วก็นำเอาเครื่องมือต่างๆ เช่น กรรไกรผ่าตัดขนาดเล็กและยาว มีดผ่าตัดไฟฟ้า แคลมป์ ฟอร์เซป เป็นต้น เข้าไปในช่องท้อง ทำการผ่าตัดและห้ามเลือดเหมือนกับวิธีการแบบเปิดหน้าท้องทั่วไป การผ่าตัดโดยใช้เอนโดสโคปนี้ทำให้เกิดบาดแผลบนร่างกายเพียงเล็กน้อย และทำให้ร่างกายไม่เจ็บปวดและบอบช้ำ ช่วงหลัง 10 ปีมานี้วิธีการนี้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว วิธีผ่าตัดแบบเก่า ผู้ป่วยจะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลังผ่าตัดอย่างน้อยถึง 1 สัปดาห์ แต่ถ้าใช้เอนโดสโคป ผู้ป่วยบางรายก็สามารถกลับบ้านได้เลยในวันรุ่งขึ้น

ในประเทศญี่ปุ่น ศาสตราจารย์อิเดซึกิ ยาซึโอะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวและศาสตราจารย์ยามากาวา ทัตสึโร แห่งมหาวิทยาลัยเทเคียว ทั้งสองเป็นผู้เริ่มนำเอาวิธีผ่าตัดโดยใช้เอนโดสโคปมาใช้เป็นกลุ่มแรกๆ และวิธีนี้ก็แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับศัลยกรรมที่ใช้วิธีการดั้งเดิมในการผ่าตัดนั้นต้องใช้มือสอดเข้าไปซึ่งจะสามารถใช้ความรู้สึกสัมผัสร่วมด้วยได้ในขณะผ่าตัด แต่ถ้าใช้เอนโดสโคปซึ่งเป็นการผ่าตัดโดยไม่ได้สัมผัสผู้ป่วย ทำให้ไม่ได้ใช้สัมผัสทั้งห้าและแพทย์เองจะรู้สึกว่าการผ่าตัดอาจไม่ได้ผล เพราะต้องดูจากภาพ (monitor) ซึ่งเป็นภาพ 2 มิติ ดังนั้นจึงมีการเรียกร้องเทคโนโลยีที่สูงขึ้นในการผ่าตัด ทั่วโลกต่างก็พยายามที่จะทำการวิจัยในด้านวิศวกรรม เพื่อช่วยให้การผ่าตัดนั้นง่ายขึ้นทั้งต่อศัลยแพทย์และผู้ป่วย ความพยายามหนึ่งคือการพัฒนาหุ่นยนต์ผ่าตัด

ในยุโรปและสหรัฐอเมริกานั้นมีบริษัทหลายแห่งที่ได้พัฒนาหุ่นยนต์ หรือมานิพูเลเตอร์ (manipulator) ขึ้นเพื่อใช้ในการผ่าตัด เทคนิคในการผ่าตัดแบบนี้ ทั้งหมดใช้การควบคุมโดยมิได้สัมผัสตัวผู้ป่วยโดยตรง ในญี่ปุ่นเองก็มีมหาวิทยาลัยและบริษัทชั้นนำต่างๆ หลายแห่งที่มีความก้าวหน้ามากในการพัฒนางานวิจัยมานิพูเลเตอร์สำหรับงานผ่าตัดด้วยเอนโด-สโคปนี้ และเรียกมานิพูเลเตอร์นี้รวมว่าคือ หุ่นยนต์ผ่าตัด หุ่นยนต์ผ่าตัดนี้ไม่ได้เหมือนหุ่นยนต์ที่ใช้ในทางอุตสาหกรรมหรือในโรงงาน ซึ่งในโรงงานนั้นการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์นั้นจะเป็นไปอย่างอัตโนมัติ แต่สำหรับหุ่นยนต์ผ่าตัดจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของศัลยแพทย์อย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอน เพราะฉะนั้น การทำงานของหุ่นยนต์ทั้งสองแบบจึงมีความแตกต่างกัน ไม่สามารถนำคำอธิบายหุ่นยนต์ทั่วไปมาใช้อธิบายหุ่นยนต์ผ่าตัดได้

ทุกวันนี้ การผ่าตัดตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนเสร็จสิ้นโดยใช้หุ่นยนต์ทั้งหมดไม่ได้เป็นเพียงความฝันอีกต่อไป หุ่นยนต์ผ่าตัดที่พัฒนาขึ้นได้ให้ข้อมูลมากกว่าความรู้สึกของศัลยแพทย์ การผ่าตัดมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้นกว่าการใช้มือของศัลยแพทย์ และยังมีความปลอดภัยและประสบความสำเร็จสูงกว่า นั่นคือจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดของการใช้งานหุ่นยนต์ผ่าตัด

ประเด็นสำคัญ
·         การเปลี่ยนจากการผ่าตัดโดยเปิดหน้าท้อง มาเป็นการใช้เอนโดสโคป ช่วยลดความบอบช้ำของผู้ป่วย
·         การพัฒนาหุ่นยนต์ผ่าตัดกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
  • 16:18
Telomere
เข้าใกล้กลไกความชรา
(ชะลอความชราเป็นไปได้หรือ)

ผลจากอภิมหาโครงการทางเทคโนโลยีชีวภาพ โครงการพันธุกรรมมนุษย์ ทำให้ทราบว่ามียีนที่เกี่ยวข้องกับความชราอยู่มากมาย ส่วนกลไกความชราก็ค่อยๆ เป็นที่เข้าใจกระจ่างชัดขึ้นมาทีละน้อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงคิดกันว่า แม้เราจะหลีกหนีความชราไปได้ไม่พ้น แต่ก็น่าจะสามารถชะลอความชราให้ช้าลงได้

คำอธิบายถึงกลไกความชรามีมากมาย ข้อหนึ่งกล่าวถึง เทเลเมียร์ (telomere)” ที่เป็นส่วนปลายสุดของสายดีเอ็นเอซึ่งเมื่อเซลล์มีการแบ่งตัวครั้งใด ปลายเทเลเมียร์นี้ก็จะหดสั้นลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเซลล์ก็หมดความสามารถในการแบ่งตัว อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ การทำลายของเหล่าออกซิเจนในรูปทำลายล้าง (reactive oxygen) ทั้งหลายที่ใช้อธิบายกลไกของความชราได้
  • 11:52
ในราวปลายทศวรรษที่ 1980 สหรัฐอเมริกาได้เริ่มประชาสัมพันธ์โครงการพันธุกรรมมนุษย์ (Human Genome Project – โครงการขนาดใหญ่ โดยความร่วมมือของหลายประเทศ เพื่อหาลำดับเบสของสายดีเอ็นเอทั้งหมดของมนุษย์ – ผู้แปล) ต่อมาในปี ค.ศ. 1990 นักวิจัยในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น จึงได้เริ่มโครงการนี้และได้ประกาศความสำเร็จไปเมื่อปี ค.ศ. 2003 ทำให้ทราบว่าดีเอ็นเอของมนุษย์นั้นมียีน (gene) อยู่ทั้งสิ้นราว 32,000 ยีน ปัจจุบันงานวิจัยกำลังมุ่งไปที่หน้าที่ของยีนเหล่านั้นว่าเป็นแม่พิมพ์ของโปรตีนชนิดใด และทำหน้าที่อะไร สาเหตุเพราะโปรตีนเป็นโมเลกุลหลักในการสร้างชีวิต งานวิจัยนี้จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ เมื่อยีนหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของยีนถูกค้นพบขึ้นใหม่ ก็จะถูกนำไปจดสิทธิบัตรเพื่อใช้ประโยชน์ทางธุรกิจที่กำลังเริ่มเติบโต เพราะการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งทางการแพทย์โดยใช้ยีนจะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว การผลิตยาในอนาคตจะอาศัยความรู้พื้นฐานในเรื่องของยีน ดีเอ็นเอ และจีโนมเป็นหลักแน่นอน

ด้วยความรู้เรื่องดีเอ็นเอของมนุษย์ ทำให้เราสามารถชี้ชัดลงไปได้ว่า โรคที่เกิดขึ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกับยีนและ ดีเอ็นเอหรือไม่ อย่างไร ดังนั้น จึงมีการพัฒนา ชิปดีเอ็นเอ (DNA chip)” ขึ้น เพื่อใช้ตรวจสอบการแสดงออกของยีน ซึ่งจะแพร่หลายในอนาคตอันใกล้นี้ การตรวจวินิจฉัยโรคอาจจะเปลี่ยนจากการใช้เลือดมาเป็นการใช้ดีเอ็นเอแทนก็เป็นไป

สเต็มเซลล์ 
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกวันนี้วิศวกรรมเนื้อเยื่อเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ (Regenerated tissue engineering) กำลังก้าวหน้าไปอย่างมาหยุดยั้ง การาผลิต เซลล์ต้นกำเนิดจากเอ็มบริโอ (embryonic stem cell หรือ ES)” หรือที่มักเรียกทับศัพท์ว่าสเต็มเซลล์ ของมนุษย์ ประสบผลสำเร็จแล้วที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เทคโนโลยีด้านนี้ได้พัฒนาไปสู่การประกอบธุรกิจแล้ว สเต็มเซลล์สามารถมีพัฒนาการเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ได้ จึงคาดกันว่าในอนาคตจะสามารถผลิตอวัยวะขึ้นมาใหม่ได้จากสเต็มเซลล์ดังกล่าว

กล่าวกันว่าอาการเจ็บป่วยของมนุษย์ถึงกว่า 6,000 ชนิด มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน บางโรคก็สามารถรักษาได้แล้ว โรคที่บำบัดรักษาได้ด้วยการใช้ ยีนบำบัด เป็นครั้งแรก คือ โรคที่มีสาเหตุมาจากการขาดเอนไซม์ อะดีโนซีน ดีอะมิเนส  ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับยีนบำบัดมีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเป็นปกติ และนอกจากนี้ยีนบำบัดยังจะนำมาใช้กับโรคที่รักษาได้ยาก เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น

ยีนบำบัด

  • 11:22
การทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ
ด้านมืดของ สารต้านอนุมูลอิสระ
          สารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีการ ใช้กันอย่างแพร่หลาย ในการปกป้อง เซลล์ จากความเสียหาย ที่เกิดจาก การทำปฏิกิริยา ออกซิเจน ( ROS ) แนวคิดที่ได้รับกรสนับสนุนโดยทั่วไปจากอุตสาหกรรมอาหารเสริมที่ว่า สารต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วย ต่อสู้กับโรคมะเร็ง ที่ฝังรากลึกอยู่ในประชากร ทั่วไป กำลังถูกท้าทาย จากบางการทดลองแสดงให้เห็นว่า การเสริมอาหาร ที่มี สารต้านอนุมูลอิสระ ของ N- acetylcysteine ​​( NAC ) และวิตามินอี มีผลอย่างเห็นได้ชัด ต่อการเจริญเติบโตของ เนื้องอก ในระดับที่มากกว่าปกติ โดยเฉพาะในประชากร มีความเสี่ยงสูง เช่น สูบบุหรี่และ ผู้ป่วยที่มี โรค ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ที่ได้รับ NAC เพื่อบรรเทา การผลิต เมือก

สนใจหาอ่านเพิ่มเติมได้ใน American Association for the Advancement of Science [ https://www.sciencemag.org/ ]
  • 14:48
เทคโนโลยีชีวภาพคืออะไรกัน

          ภายหลังย่างเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 20 กลไกการทำงานของชีวิตก็เริ่มเป็นที่เข้าใจกันมากขึ้น ชีวโมเลกุลชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สังเคราะห์ข้นในสิ่งมีชีวิตคือ โปรตีน (Protein) แม่พิมพ์ของโปรตีนก็คือ สารประกอบทางเคมีที่เรียกกันว่า “ดีเอ็นเอ (DNA)” ซึ่งย่อมาจาก “กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (deoxyribonucleic acid)” โครงสร้างของดีเอ็นเอมีองค์ประกอบหน่วยย่อย เรียกว่า “เบส (base)” ซึ่งบรรจุข้อมูลทางพันธุกรรมเอาไว้ การเรียงตัวของ เบส เหล่านี้ เป็นสิ่งที่กำหนดการเรียงตัวของกรดอะมิโน (amino acid) ที่จะเข้ามาต่อกันเป็นสายยาวแล้วกลายเป็นโปรตีนและโปรตีนนี่เองที่แสดงบทบาทสำคัญของชีวิต
      
ลักษณะ ดี เอ็น เอ
          ในอีกด้านหนึ่ง งานวิจัยเพื่อประยุกต์ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตมาใช้กับงานด้านวิศวกรรมกำลังเป็นที่จับตามอง ภายหลังความสำเร็จในการตัดต่อดีเอ็นเอ ในทศวรรษที่ 1970 เทคโนโลยีด้านการนำยีนเข้าเซลล์ เทคโนโลยีด้านการเพาะเลี้ยงเซลล์และเนื้อเยื่อ จนถึงการโคลนนิ่ง และการสร้างสิ่งมีชีวิตชนิดไคเมร่า รวมทั้งการวิจัยเรื่องของเซลล์และเอ็มบริโอ เทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผลของการประยุกต์ใช้เทคโนดลยีต่างๆ ดังที่กล่าวมานั้น ทำให้คาดคะเนว่า การรักษาแบบ  “เมดทูออร์เดอร์” หรือการบำบัดรักษาให้มีความเหมาะสมเฉพาะกับผู้ป่วยแต่ละคน เหมือนสั่งตัดเสื้อผ้าให้เหมาะกับผู้สวมใส่แต่ละคน  จะเป็นจริงขึ้นมาได้

          นอกจากนี้ งานด้านการนำอวัยวะมาใช้ใหม่ในงานด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อ (Tissue engineering) งานด้านยีนบำบัด (การรักษาด้วยยีน) การค้นพบตัวยาใหม่ๆ ด้วยการใช้ข้อมูลจาก “จีโนม (genome-ดีเอ็นเอทั้งหมดในโครโมโซม 1 ชุด มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างชีวิต)” งานเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง

          กลไกของความชราก็เริ่มเป็นที่เข้าใจกันมากขึ้น สาเหตุของความชรานั้นมีหลากหลาย รวมทั้ง “ออกซิเจนในรูปทำลายล้าง (Reactive oxygen)” ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเด่นชัด ในอนาคตเราอาจจะสามารถชะลอความชราให้ช้าลงและอาจมีชีวิตยืนยาวออกไปได้อีก นอกจากนี้ คุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้านอาหาร การรักษาและการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่กำลังก้าวหน้าไป และการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อแก้ปัญหาด้านพลังงานก็ยังเป็นความหวังอันสดใสอีกด้วย

          ความชัดเจนในการค้นพบปรากฏการณ์ทางชีวิตเหล่านี้ ทำให้เกิดเทคโนโลยีเพื่อประยุกต์มาใช้งานอย่างกว้าง ขวางและรวดเร็ว สาขาที่นำมาประยุกต์ใช้กันมาก คือ การประยุกต์นำงานอิเลคโทรนิกส์ (electronics) และงานด้านวิศวกรรมหุ่นยนต์ (robotics) มาใช้ร่วมกับงานวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (bioscience) เกิดเป็นสาขาวิชาใหม่ที่เรียกว่า ไบโอนิกส์ (bionics) ซึ่งกำลังได้รับความสนและเป็นเทคโนโลยีใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 โดยแท้
  • 12:30

การป้องกัน  autism

          น่าสนใจเกี่ยวกับสถิติชองเด็กในวัยเรียนที่เป็น autism เพราะว่าในจำนวนเด็ก 150 คน พบว่ามี 1 คนที่เป็น  autism สถิตินี้เป็นของปี 2000 คาดว่าปัจจุบันน่าจะสูงกว่านี้ ในสองทศวรรษที่ผ่านมาเรามุ่งความสนใจไปที่การให้การดูแล และให้การศึกษากับเด็กกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก ในทางควบคู่กันเราให้ความสนใจเกี่ยวกับการหาทางป้องกันน้อยมาก
          สังคมเราควรหันมาให้ความสนใจในการหาทางป้องกันและทำให้หมดไป ดังนั้นเราจะต้องมองให้เห็นและเข้าใจภาพรวมของ autism ข้อมูลจากการศึกษาจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่มีบทบาทสำคัญส่งผลต่อการเกิด autism ก็คือ ระบบภูมิคุ้มกัน
นี่คือสิ่งที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อ autism ก็คือการสัมผัสและเกิดสะสมของสารพิษ Toxin ในร่างกาย ที่มาจาก
  • มลภาวะ ; อาศัยอยู่ใกล้กับที่ตั้งมลพิษ มลพิษทางอากาศที่เป็นอันตราย และที่อยู่ใกล้ทางด่วน
  • สารกำจัดศัตรูพืช ; อาศัยอยู่ใกล้กับสถานที่ที่มีการใช้งานสารกำจัดศัตรูพืชทางการเกษตรและก่อนคลอดมีการสัมผัสกับสารกำจัดศัตรูพืชประเภท organophosphate
  • Phthalates. ก่อนคลอดมีการสัมผัสกับสาร phthalates (Phthalates เป็นสารเคมีที่ใช้เพิ่มความอ่อน (Softener) ในของเล่นเด็กเล็กที่ทำด้วย PVC เช่น ห่วงยางกัดสำหรับเด็กอ่อน (Teething Ring), Dummies, Rattles ฯลฯ โดยสารอาหารดังกล่าวอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้)
  • โลหะหนัก ; สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนสารที่มีพิษต่อระบบประสาทรวมทั้งสารปรอท, อลูมิเนียมตะกั่วและแคดเมียม
  • สารตกค้างที่มีอยู่ใน อินทรีย์สาร ; ก่อนคลอดมีการสัมผัสกับของสาร PCBs และท DDE (เมตาโบไล ดีดีที)ในระดับที่สูง
  • อาชีพของมารดา ; มารดาประกอบอาชีพที่มีการสัมผัสกับไอเสียจากการเผาไหม้ และจากสารตัวทำละลาย
พยายามป้องกันหลีกเลี่ยงนะครับ

A call-to-action text Contact us